เมนู

ตอบว่า บุคคลประสบทุกข์แล้วย่อมปรารถนาสุข ซึ่งก็คือ
ปรารถนาทุกข์นั่นเอง เพราะทุกข์มาถึงเพราะสุขแปรปรวนไป
นักศึกษาพึงทราบความเพลิดเพลินยินดีในทุกข์อย่างนี้. คำที่เหลือ
มีนัยดังกล่าวแล้วในตอนต้น นั่นแล.
จบ อรรถกถาอัสสชิสูตรที่ 6

7. เขมกสูตร



ว่าด้วยไม่มีตนในขันธ์ 5



[225] สมัยหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นพระเถระหลายรูปอยู่ ณ
โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี. ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเขมกอาพาธเป็นไข้หนัก
ได้รับทุกขเวทนา พักอยู่ที่พทริการาม. ครั้งนั้น เป็นเวลาเย็น ภิกษุ
ผู้เป็นพระเถระทั้งหลายออกจากที่พักแล้ว เรียกท่านพระทาสกะมา
กล่าวว่า มาเถิด ท่านทาสกะ จงเข้าไปหาเขมกภิกษุถึงที่อยู่ จงบอกกะ
เขมกภิกษุอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านเขมกะ พระเถระทั้งหลายได้ถามท่าน
อย่างนี้ว่า อาวุโส ท่านพออดทนได้หรือ ยังพอเยียวยาอัตภาพให้เป็นไป
ได้หรือ ทุกขเวทนาทุเลาลง ไม่กำเริบขึ้น ทุกขเวทนานั้นปรากฏว่าทุเลา
ไม่กำเริบขึ้นหรือ. ท่านพระทาสกะรับคำภิกษุผู้เป็นเถระทั้งหลายแล้ว
เข้าไปหาท่านพระเขมกะถึงที่อยู่ ได้กล่าวแก่ท่านพระเขมกะว่า
ดูก่อนท่านเขมกะ พระเถระทั้งหลายถามถึงท่านอย่างนี้ว่า อาวุโส
ท่านพออดทนได้หรือ ยังพอเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ฯลฯ
ท่านพระเขมกะตอบว่า ผมอดทนไม่ไหว เยียวยาอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้
ทุกขเวทนาอันกล้าของผมกำเริบขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย ปรากฏว่ากำเริบขึ้น
ไม่ทุเลาเลย.

[226] ครั้งนั้น ท่านพระทาสกะเข้าไปหาภิกษุผู้เป็นเถระ
ทั้งหลายถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวกะภิกษุผู้เป็นเถระว่า ดูก่อนอาวุโส
ทั้งหลาย เขมกภิกษุกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ผมทนไม่ไหว เยียวยา
อัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ฯลฯ.
ถ. มาเถิด ท่านทาสกะ ท่านจงเข้าไปหาเขมกภิกษุถึงที่อยู่
จงกล่าวกะเขมกภิกษุอย่างนี้ว่า ท่านเขมกะ พระเถระทั้งหลายกล่าวกะ
ท่านอย่างนี้ว่า อาวุโส อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์ ท่านเขมกะพิจารณาเห็น
อะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 นี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีอยู่ในอัตตาหรือ
ท่านพระทาสกะรับคำภิกษุผู้เป็นเถระทั้งหลายแล้ว เข้าไปหาท่าน
เขมกะถึงที่อยู่ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านเขมกะ พระเถระทั้งหลายกล่าว
กะท่านอย่างนี้ว่า อาวุโส อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์ ท่านเขมกะ
พิจารณาเห็นอะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5 นี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีใน
อัตตาหรือ.
ข. อาวุโส อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว
คือ รูปปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์ ผมไม่พิจารณาเห็น
อะไร ๆในอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 นี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีในอัตตา.
[227] ครั้งนั้นแล ท่านพระทาสกะเข้าไปหาภิกษุผู้เถระ
ทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุผู้เถระทั้งหลายว่า ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเขมกะกล่าวอย่างนี้ว่า อุปาทานขันธ์ 5
เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณู-

ปาทานขันธ์ ดูก่อนผู้มีอายุ ผมไม่ได้เห็นสิ่งอะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5
เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีในอัตตาเลย.
ถ. มาเถิด ท่านทาสกะ ท่านจงเข้าไปหาภิกษุเขมกะถึงที่อยู่
ครั้นแล้วจงกล่าวกะภิกษุเขมกะอย่างนี้ว่า อาวุโส พระเถระทั้งหลาย
กล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์
ได้ทราบว่า ถ้าท่านเขมกะไม่พิจารณาเห็นอะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5
เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีในอัตตา ถ้าเช่นนั้น ท่านเขมกะก็เป็น
พระอรหันตขีณาสพ ท่านพระทาสกะรับคำภิกษุผู้เถระทั้งหลายแล้ว
เข้าไปหาท่านพระเขมกะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านเขมกะ
พระเถระทั้งหลายกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์
ได้ทราบว่า ถ้าท่านเขมกะไม่พิจารณาเห็นอะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5
เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตาหรือว่ามีในอัตตา ถ้าเช่นนั้น ท่านเขมกะก็เป็น
พระอรหันตขีณาสพ.
ข. ดูก่อนอาวุโส อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์ ผมไม่ได้
พิจารณาเห็นสิ่งอะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตาหรือ
ว่ามีในอัตตา และผมก็ไม่ได้เป็นพระอรหันตขีณาสพ แต่ผมเข้าใจว่า
เรามีในอุปาทานขันธ์ 5 และผมไม่ได้พิจารณาเห็นว่า เราเป็นนี้.
[228] ครั้งนั้นแล ท่านพระทาสกะเข้าไปหาภิกษุผู้เถระถึงที่อยู่
ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุเถระทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ภิกษุเขมกะกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว คือ รูปูปาทานขันธ์ ฯลฯ วิญญาณูปาทานขันธ์
ผมไม่ได้พิจารณาเห็นอะไร ๆ ในอุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ ว่าเป็นอัตตา
หรือว่ามีในอัตตา และผมก็ไม่ได้เป็นพระอรหันตขีณาสพ แต่ผม
เข้าใจว่า เรามีในอุปาทานขันธ์ 5 และผมไม่ได้พิจารณาเห็นว่าเราเป็นนี้
ถ. มาเถิด ท่านทาสกะ ท่านจงเข้าไปหาภิกษุเขมกะถึงที่อยู่
ครั้นแล้ว จงกล่าวกะภิกษุเขมกะอย่างนี้ว่า ท่านเขมกะ พระเถระ
ทั้งหลายถามท่านอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านเขมกะ ที่ท่านกล่าวว่า เรามี
นี้คืออย่างไร ? ท่านกล่าวรูปว่า เรามี หรือกล่าวว่า เรามีนอกจากรูป
ท่านกล่าวเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เรามี หรือกล่าวว่า
เรามีนอกจากวิญญาณ ดูก่อนท่านเขมกะ ที่ท่านกล่าวว่า เรามีนั้น คือ
อย่างไร ? ท่านพระทาสกะรับคำภิกษุผู้เถระทั้งหลายแล้ว เข้าไปหา
ท่านพระเขมกะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระเขมกะว่า
ท่านเขมกะ พระเถระทั้งหลายกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านเขมกะ
ที่ท่านกล่าวว่า เรามี นั้น คืออย่างไร ? ท่านกล่าวรูปว่า เรามี หรือ
กล่าวว่า เรามีนอกจากรูป ท่านกล่าวเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ว่า เรามี หรือกล่าวว่า เรามีนอกจากวิญญาณ ดูก่อนท่านเขมกะ
คำที่ท่านกล่าวว่า เรามีนั้น คืออย่างไร.
ข. พอทีเถิด ท่านทาสกะ การเดินไปเดินมาบ่อย ๆ อย่างนี้
จะมีประโยชน์อะไร อาวุโส จงไปหยิบเอาไม้เท้ามาเถิด ผมจักไปหา
ภิกษุผู้เถระทั้งหลายเอง.
[229] ครั้งนั้น ท่านพระเขมกะยันไม้เท้าเข้าไปหาภิกษุผู้เถระ
ทั้งหลายถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ครั้นผ่าน
การสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้ว ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระเขมกะว่า ดูก่อนท่าน
เขมกะ ที่ท่านกล่าวว่า เรามีนั้น คืออย่างไร ?
ข. ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ผมไม่กล่าวรูปว่า เรามี ทั้งไม่กล่าวว่า
เรามี นอกจากรูป ไม่กล่าวเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เรามี
ทั้งไม่กล่าวว่า เรามีนอกจากวิญญาณ แต่ผมเข้าใจว่า เรามีใน
อุปาทานขันธ์ 5 และผมไม่ได้พิจารณาเห็นว่า เราเป็นนี้ เปรียบเหมือน
กลิ่นดอกอุบลก็ดี กลิ่นดอกปทุมก็ดี กลิ่นดอกบุณฑริก (บัวขาว) ก็ดี
ผู้ใดหนอจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า กลิ่นใบ กลิ่นสี หรือว่ากลิ่นเกสร
ผู้นั้นเมื่อกล่าวอย่างนี้จะพึงกล่าวชอบละหรือ ?
ถ. ไม่เป็นอย่างนั้น อาวุโส.
ข. ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ก็โดยที่ถูก เมื่อจะกล่าวแก้ ควรกล่าว
แก้อย่างไร ?
ถ. ดูก่อนอาวุโส โดยที่ถูก เมื่อจะกล่าวแก้ ควรกล่าวแก้ว่า
กลิ่นดอก.
ข. ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ผมไม่กล่าวรูปว่า
เรามี ทั้งไม่กล่าวว่า เรามีนอกจากรูป ไม่กล่าวเวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณว่า เรามี ทั้งไม่กล่าวว่า เรามีนอกจากวิญญาณ แต่ผมเข้าใจว่า
เรามีในอุปาทานขันธ์ 5 และผมไม่พิจารณาเห็นว่า เราเป็นนี้ สังโยชน์
ส่วนเบื้องต่ำ 5 พระอริยสาวกละได้แล้วก็จริง แต่ท่านก็ยังถอนมานะ
ฉันทะ อนุสัยอย่างละเอียดในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า เรามีไม่ได้ สมัยต่อมา
ท่านพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป ในอุปาทานขันธ์ทั้ง 5
ว่า รูปดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปดังนี้ ความดับแห่งรูป ดังนี้ เวทนาดังนี้
สัญญาดังนี้ สังขารดังนี้ วิญญาณดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณดังนี้

ความดับแห่งวิญญาณดังนี้ เมื่อท่านพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและ
ความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้อยู่ แม้ท่านยังถอนมานะ ฉันทะ
อนุสัย อย่างละเอียดในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า เรามี ไม่ได้ แต่มานะ ฉันทะ
และอนุสัยนั้น ก็ถึงการเพิกถอนได้ ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เปรียบเหมือน
ผ้าเปื้อนเปรอะด้วยมลทิน เจ้าของทั้งหลายมอบผ้านั้นให้แก่ช่างซักฟอก
ช่างซักฟอกขยี้ผ้านั้นในน้ำด่างขี้เถ้า ในน้ำด่างเกลือ หรือในโคมัย
แล้วเอาซักในน้ำใสสะอาด ผ้านั้นเป็นของสะอาดขาวผ่องก็จริง แต่ผ้านั้นยัง
ไม่หมดกลิ่นน้ำด่างขี้เถ้า กลิ่นน้ำด่างเกลือ หรือกลิ่นโคมัยที่ละเอียด
ช่างซักฟอกมอบผ้านั้นให้แก่เจ้าของทั้งหลาย เจ้าของทั้งหลายเก็บผ้านั้น
ใส่ไว้ในหีบอบกลิ่น แม้ผ้านั้นยังไม่หมดกลิ่นน้ำด่างขี้เถ้า กลิ่นน้ำด่างเกลือ
หรือกลิ่นโคมัยที่ละเอียด แม้กลิ่นนั้นก็หายไป ฉันใด ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย
สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 พระอริยสาวกละได้แล้วก็จริง แต่ท่านก็ยังถอน
มานะ ฉันทะ อนุสัยอย่างละเอียดในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า เรามี ไม่ได้
สมัยต่อมา ท่านพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปใน
อุปาทานขันธ์ 5 ว่า รูปดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปดังนี้ ความดับแห่งรูป
ดังนี้ เวทนาดังนี้ สัญญาดังนี้ สังขารดังนี้ วิญญาณดังนี้ ความเกิดขึ้น
แห่งวิญญาณดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณดังนี้ เมื่อท่านพิจารณาเห็น
ควานเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้อยู่ แม้ท่าน
ยังถอนมานะ ฉันทะ อนุสัยอย่างละเอียดในอุปาทานขันธ์ 5 ว่า เรามี
ไม่ได้ แต่มานะ ฉันทะ และอนุสัยนั้น ก็ถึงการเพิกถอนได้ ฉันนั้น.
[230] เมื่อท่านพระเขมกะกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุผู้เถระ
ทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระเขมกะว่า ผมทั้งหลายไม่ได้ถามมุ่งหมาย
เบียดเบียนท่านเขมกะเลย แต่ว่า ท่านเขมกะสามารถพอจะบอก แสดง
บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มี-

พระภาคเจ้านั้นโดยพิสดาร ตามที่ท่านเขมกะบอกแล้ว แสดงแล้ว
บัญญัติแล้ว แต่งตั้งแล้ว เปิดเผยแล้ว จำแนกแล้ว ทำให้ตื้นแล้ว
โดยพิสดาร.
ท่านพระเขมกะได้กล่าวคำนี้แล้ว ภิกษุผู้เถระทั้งหลายชื่นชม
ยินดีภาษิตของท่านพระเขมกะ ก็เมื่อท่านพระเขมกะกล่าวคำไวยากรณ-
ภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุผู้เถระประมาณ 60 รูป และของท่านพระเขมกะ
พ้นแล้วจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น.
จบ เขมกสูตรที่ 7

อรรถกถาเขมกสูตรที่ 7



พึงทราบวินิจฉัยในเขมกสูตรที่ 7 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อตฺตนิยํ ได้แก่ ที่เป็นบริขารของตน.
บทว่า อสฺมีติ อธิคตํ ความว่า เราประสบกับตัณหาและมานะ
ที่เป็นไปอย่างนี้ว่า เรามีเราเป็น.
บทว่า สนฺธาวนิกาย ได้แก่ ด้วยการไปการมาบ่อย ๆ.
บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า พระเขมกะเดินทางจากวัดพทริการาม
ไปยังวัดโฆสิตาราม (ซึ่งอยู่ห่างกัน) ประมาณ 1 คาวุต ฝ่ายพระทาสกเถระ
วันนั้นเดินทางไกลถึง 2 โยชน์ ด้วยการไปมาถึง 4 ครั้ง.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระเถระทั้งหลายจึงส่งพระทาสกะนั้นไป
(ยังสำนักพระเขมกะ) ด้วยหวังว่า เราทั้งหลายจัก (คอย) ฟังธรรมจาก
สำนักพระธรรมกถึกผู้มีชื่อเสียง ? เพระเหตุไร ท่านจึงไม่ไปกันเอง ?